วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การใช้ Could ในลักษณะต่างๆ

1. เมื่อเราต้องพูดถึงอดีต (past) การนำ “could” ไปใช้ควรกระทำเมื่อต้องการจะบอกให้รู้ว่าบุคคลที่เรากล่าวถึงมีความสามารถหรือมีอำนาจในการกระทำดังกล่าวเท่านั้น

Example: She could play the piano when she was five.

แต่ถ้าเป็นการพูดเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถที่จะกระทำไปแล้ว ท่านควรใช้ “manage to” หรือ “be able to” ซึ่งมีความหมายว่า “สามารถทำได้” และ “ทำไปแล้ว”

Example: I managed to get the tickets I wanted.
He was able to win the fight that he’d said.

วลี “succeeded in” ที่ตามด้วย Gerund (กริยาที่เติม –ing) มีความหมายเช่นเดียวกับ “could” เมื่อเป็น Past Tense ซึ่งสามารถนำไปใช้แทนกันได้

Example: He succeeded in passing the examination.
He could pass the examination.

แต่ถ้าต้องการแสดงให้เห็นถึง “ความสามารถที่จะกระทำได้สำเร็จ” แล้ว จะต้องใช้ “couldn’t” หรือ “was unable to” เท่านั้น

Example: I couldn’t find the person I was looking for.
I was unable to get the job I wanted.

2. เราสามารถใช้ “could” แทน “may” และ “might” ได้ในรูปของ Present Simple

Example: He could/ may/ might be on his way now.

แต่ถ้าเป็นการกล่าวถึงอดีต เราสามารถใช้แทนกันได้ในลักษณะเดียวกันว่า “could have” “may have” หรือ “might have”

Example: She could have / may have / might have been delayed.

(Taken from: Standard English Usage. ภิรมย์ พุทธรัตน์. 2544)

การเปลี่ยนคำนามให้เป็นพหูพจน์ (Plural)

1. คำนามส่วนใหญ่เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หลังคำนามเอกพจน์ อาทิเช่น
banks books cats letters hotels

2. คำนามที่ลงท้ายด้วย f fe และ ff
1. คำนามที่ลงท้ายด้วย f fe และ ff เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หลังคำนามเอกพจน์ อาทิเช่น
briefs giraffes proofs sheriffs
chiefs plaintiffs scarfs tariffs

2. คำนามบางคำที่ลงท้ายด้วย f และ fe ให้เปลี่ยน f และ fe เป็น v แล้วเติม es อาทิเช่น
halves leave selves thieves
knives lives shelves wives

3. สามานยนามที่ลงท้ายด้วย s,sh,ch,x และ z เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หลังคำนามเอกพจน์ หากต้องการอีกพยางค์หนึ่งเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกในการออกเสียง อาทิเช่น
churches lunches waltzes brushes
dishes sixes taxes yeses

4. คำนามที่ลงท้ายด้วย y
1. คำนามที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัชนะเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม es อาทิเช่น
armies diaries families skies
cities duties ladies parties
2. คำนามที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นสระ เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หลังคำนามเอกพจน์ ยกเว้นคำที่ลงท้ายด้วย quy
Attorneys journeys keys valleys

5.คำนามที่ลงท้ายด้วย o เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หรือ es แต่เนื่องจากกฎข้อนี้มีข้อยกเว้นมากมาย จึงขอแนะนำให้ค้นหาคำที่สงสัยจากพจนานุกรม
1. สามานยนามส่วนใหญ่ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นสระ เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม s หลังคำนามเอกพจน์ อาทิเช่น
cameos patios radios rodeos
curios portfolios ratios studios
2. สามานยนามส่วนใหญ่ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม es หลังคำนามเอกพจน์ อาทิเช่น
embargoes manifestoes noes vetoes
heroes Negroes torpedoes
ยกเว้น : cantos, pianos, solos, sopranos, tobaccos
3. คำนามบางคำที่ลงท้ายด้วย o เปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเติม e หรือ es หลังคำนามเอกพจน์ อาทิเช่น
cargos หรือ cargoes mottos หรือ mottoes

6. คำนามบางคำเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้ด้วยการเปลี่ยนสระภายในคำ อาทิเช่น
Feet geese men

mice teeth women
7. คำนามบางคำมีรูปเอกพจน์ และพหูพจน์เหมือนกัน อาทิเช่น
Deer salmon grass

moose sheep
คำนามเหล่านี้บางคำเปลี่ยนให้เป็นพหูพจน์ได้เมื่อกล่าวถึงหลายๆพันธุ์ อาทิเช่น
The deers of North America
Grasses found on the prairies
8. คำนามบางคำมีรูปเป็นพหูพจน์เสมอ ไม่มีรูปเอกพจน์ที่มีความหมายเดียวกัน อาทิเช่น
annals earings scales

assets goods
pants trousers scissors

auspices proceeds

(Taken from: English to go ภาษาอังกฤษพร้อมอ่าน. ศราภรณ์ คุณะวัฒน์สถิต. 2546)

วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีสอนความคิดรวบยอด (Concept Method)

เป็นกระบวนการที่จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนมีสมรรถภาพในการจัดจำพวกสิ่งของ เหตุการณ์หรือสิ่งเร้าโดยพิจารณาลักษณะร่วมของสิ่งเร้าแล้วหาคำหรือข้อความมาใช้แทนลักษณะร่วมของสิ่งเร้าหรือองค์ประกอบย่อยนั้น คำหรือข้อความนั้นก็คือความคิดรวบยอด
ประเภทของวิธีพื้นฐานในการสอนความคิดรวบยอด
1) การสอนแบบอนุมาน (Deductive)
เป็นวิธีการสอนความคิดรวบยอดโดยให้คำจำกัดความแล้วจึงยกตัวอย่างประกอบ โดยผู้สอนเป็นผู้ให้คำจำกัดความของความคิดรวบยอดนั้น ส่วนตัวอย่างนั้น ผู้สอนหรือผู้เรียนเป็นผู้คิดและเสนอตัวอย่างก็ได้
2) การสอนแบบอุปมาน (Inductive) วิธีการนี้ ผู้สอนเสนอตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่างให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์แล้วหาคำหรือข้อความมาระบุคำจำกัดความ ซึ่งเป็นความคิดรวบยอดได้


การเปรียบเทียบวิธีสอนความคิดรวบยอดแบบอนุมานกับแบบอุปมาน
การอนุมาน

1. ใช้เวลาน้อย ผู้เรียนสังเกตคิดวิเคราะห์
2. รู้ความคิดรวบยอดเร็ว
3. จดจำสิ่งที่เรียนไปได้นาน
การอุปมาน
1. ใช้เวลามาก ผู้เรียนใช้ความคิดวิเคราะห์มาก
2. รู้ความคิดรวบยอดเช้า แต่ได้เรียนรู้ความคิดรวบยอดอื่นด้วย
3. ได้เรียนรู้วิธีการเรียน สามารถนำไปในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

True Joy of Life


This is the true joy of life.

The being used for a purpose Recognized by yourself as a mighty one.

The being a force of nature Instead of a feverish,

selfish Little clod of ailments and grievances Complaining

that the world will not Devote itself to making you happy.

I am of the opinion that my life Belongs to the whole community And as long as I live,

It is my privilege to do for it Whatever I can.

I want to be thoroughly Used up when I die,

For the harder I work the more I live.

I rejoice in life for its own sake.

Life is no brief candle to me.

It is a sort of splendid torch Which I've got hold of For the moment

And I want to make it burn As brightly as possible

before Handling it on to future generations

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การ์ตูนสุดโปรด


Doraemon is my favourite cartoon.It's a special cartoon for children

My first blog

Welcome to my blog.It's first time for me to chare with you.